สงครามโลก ครั้งที่ 2
31. ข้อสรุปของสงครามโลก ครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1939-1945)
31.1 ช่วงเวลาที่เกิดสงคราม รวมเวลา 6 ปี
- เริ่มเมื่อวันที่ 3 กันยายน ค.ศ.1939 เมื่อเยอรมนีบุกโปแลนด์
- สิ้นสุดในวันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ.1945 เมื่อญี่ปุ่นประกาศยอมจำนน
31.2 ประเทศคู่สงคราม แบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ดังนี้
(1) กลุ่มประเทศฝ่ายพันธมิตร ชาติผู้นำที่สำคัญ ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา และสหภาพโซเวียต รวมทั้งยังมีประเทศในภูมิภาคต่าง ๆ เข้าร่วมสมทบด้วยอีกจำนวนมาก
(2) กลุ่มประเทศฝ่ายอักษะ ชาติผู้นำที่สำคัญได้แก่ เยอรมนี ญี่ปุ่น และอิตาลี
31.3 ความสำคัญของสงครามโลก ครั้งที่ 2 เป็นสงครามที่เกิดในเกือบทุกภูมิภาคของโลก โดยเฉพาะในทวีปยุโรปและเอเชีย มีประเทศต่าง ๆ เข้าร่วมจำนวนมาก เป็นสงครามที่สร้างความหายนะ และมีผลกระทบต่อประเทศต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง มากกว่าสงครามโลก ครั้งที่ 1
มีผู้คนเสียชีวิต ทั้งทหารและพลเรือนรวมทั้งหมดไม่ต่ำกว่า 75 ล้านคน เพราะการใช้อาวุธที่มีประสิทธิภาพในการทำลายล้างสูง โดยเฉพาะระเบิดปรมาณูหรือนิวเคลียร์ (Atomic Bomb ) ซึ่งสหรัฐอเมริกาใช้กับญี่ปุ่น โดยทิ้งที่เมืองฮิโรชิมาและเมืองนางาซากิ จนทำให้ญี่ปุ่นต้องยอมแพ้ในที่สุด
32. สาเหตุที่นำไปสู่สงครามโลก ครั้งที่ 2
32.1 ความล้มเหลวขององค์การสันนิบาตชาติ การทำหน้าที่รักษาสันติภาพของสันนิบาตชาติ ไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะสันนิบาตไม่มีกองทหารและไม่มีอำนาจยับยั้งข้อพิพาทระหว่างประเทศได้ อีกทั้งสหรัฐอเมริกาไม่ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกจึงทำให้สันนิบาตชาติอ่อนแอ
32.2 การเติบโตของลัทธินิยมทางทหาร มีผู้นำหลายประเทศได้สร้างความเข้มแข็งทางทหารและสะสมอาวุธร้ายแรงต่าง ๆ ได้แก่ เยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น เพื่อขยายอำนาจทางการเมืองโดยใช้กำลังเข้ายึดครองดินแดนต่าง ๆ และใช้กองทัพปกป้องผลประโยชน์ของชาติตน
32.3 ความไม่เป็นธรรมของสนธิสัญญาสันติภาพ ได้แก่ สนธิสัญญาแวร์ซายส์และสัญญาสันติภาพฉบับอื่น ๆ ภายหลังเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง ซึ่งเยอรมนีและชาติผู้แพ้สงครามถูกบังคับให้สงนามในสัญญาที่ตนเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เช่น การสูญเสียดินแดนอาณานิคมและจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามจำนวนมหาศาล จึงต้องการล้มเลิกเงื่อนไขข้อตกลงตามสัญญาฉบับนี้
32.4 การแข่งขันทางเศรษฐกิจ ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษและฝรั่งเศสยังคงเป็นประเทศที่มีความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ แต่เยอรมนี ซึ่งเป็นฝ่ายปราชัยในสงครามและต้องสูญเสียดินแดนอารานิคมให้แก่ชาติมหาอำนาจทั้งสองไปจนเกือบหมด รวมทั้งอิตาลีและญี่ปุ่น ซึ่งมีอาณานิคมน้อยกว่า จึงอยู่ในฐานะประเทศที่มีกำลังทางเศรษฐกิจไม่เข้มแข็ง
ประเทศดังกล่าว จึงต้องการเร่งพัฒนาความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของประเทศตนเป็นผลให้เกิดการแข่งขันกับประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจเดิม โดยเฉพาะด้านการค้าระหว่างประเทศและการแสวงหาแหล่งวัตถุดิบ จึงนำไปสู่ปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศในที่สุด
32.5 ความขัดแย้งในอุดมการณ์ทางการเมือง แนวความคิดของผู้นำประเทศที่นิยมลัทธิทางทหารได้แก่ ฮิตเลอร์ ผู้นำลัทธินาซี (Nazism) ของเยอรมนี และมุสโสลินี ผู้นำลัทธิฟาสต์ซิสม์ (Fascism) ของอิตาลี ทั้งสองต่อต้านแนวความคิดเสรีนิยมและระบบการเมืองแบบรัฐสภาของชาติยุโรป แต่ให้ความสำคัญกับพลังของลัทธิชาตินิยม ความเข้มแข็งทางทหาร และอำนาจของผู้นำมากกว่า
33. ชนวนของสงครามโลก ครั้งที่ 2
33.1 เหตุการณ์ที่นำไปสู่สงครามโลก ครั้งที่ 2 หรือชนวนระเบิดที่เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามอย่างแท้จริง คือ กรณีเยอรมนีบุกโปแลนด์ เมื่อวันที่ 3 กันยายน ค.ศ.1939 ทำให้อังกฤษและฝรั่งเศสซึ่งสนับสนุนโปแลนด์ ประกาศสงครามกับเยอรมนีทันที ต่อมาเมื่อการรบขยายตัวทำให้นานาประเทศที่เกี่ยวข้องถูกดึงเข้าร่วมในสงครามเพิ่มมากขึ้น
33.2 สงครามขยายตัวในเอเชียและภูมิภาคอื่น ๆ ของโลก เมื่อญี่ปุ่นซึ่งเป็นพันธมิตรของเยอรมนีได้โจมตีฐานทัพเรือของสหรัฐอเมริกาที่อ่าวเพิร์ล หมู่เกาะฮาวาย เมื่อวัน 7 ธันวาคม ค.ศ.1941 ทำให้สหรัฐอเมริกาประกาศเข้าร่วมสงครามเป็นฝ่ายเดียวกับชาติพันธมิตรอย่างเป็นทางการ
34. ผลของสงครามโลก ครั้งที่ 2
สงครามโลก ครั้งที่ 2 มีผลกระทบต่อโลก ดังนี้
34.1 ความหายนะจากภัยสงคราม อาวุธที่ใช้ในสงครามโลก ครั้งที่ 2 มีประสิทธิภาพและกำลังทำลายร้ายแรงสูงกว่าในสงครามโลก ครั้งที่ 1 มาก เช่น จรวดและเครื่องบินขับไล่ที่ใช้เครื่องยนต์เจ็ต (Jet Engine) ซึ่งบินได้ระดับสูงและมีความเร็วมาก การทิ้งระเบิดทางอากาศเพื่อโจมตีจุดยุทธศาสตร์สำคัญ และการใช้ระเบิดนิวเคลียร์ เป็นต้น เป็นผลให้เกิดความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินมากกว่าในสงครามโลก ครั้งที่ 1 หลายสิบเท่า
34.2 การเกิดสงครามเย็น (Cold war) ภายหลังเมื่อสงครามโลก ครั้งที่ 2 ยุติลง ในปี ค.ศ.1945 ทั้งสหรัฐเมริกาและสหภาพโซเวียตกลายเป็นประเทศมหาอำนาจชั้นนำของโลก และแข่งขันกันเข้ามามีบทบาทและอิทธิพลในทวีปยุโรป โดยให้ความช่วยเหลือพัฒนาเศรษฐกิจแก่ประเทศต่าง ๆ
การแข่งขันกันขยายอำนาจและอิทธิพลระหว่างสหรัฐอเมริกาชาติผู้นำของโลกเสรีประชาธิปไตยกับสหภาพโซเวียตประเทศผู้นำค่ายคอมมิวนิสต์ ทำให้โลกเกิดภาวะ “สงครามเย็น” หรือสงครามอุดมการณ์ ซึ่งค่อย ๆ แพร่ขยายขอบเขตจากยุโรปไปยังภูมิภาคอื่น ๆ ทั่วโลกในเวลาต่อมา
34.3 การแบ่งแยกดุลอำนาจทางการเมืองในยุโรป เพราะการแข่งขันอำนาจระหว่างชาติ มหาอำนาจสองค่ายซึ่งมีอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกัน ทำให้ประเทศในยุโรปถูกแบ่งออกเป็นสองค่ายด้วยเช่นกัน ดังนี้
กลุ่มประเทศยุโรปตะวันตกโดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำ และกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออกซึ่งมีสหภาพโซเวียเป็นผู้นำ ต่างฝ่ายต่างให้การสนับสนุนพัฒนาความเข้มแข็งแก่ประเทศสมาชิกในกลุ่มของตน ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และการทหาร
34.4 การก่อตั้งองค์การสหประชาชาติ (United Nations) ก่อนที่สงครามโลกครั้งที่2 จะยุติลงประเทศมหาอำนาจของโลก เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และสหภาพโซเวียต ได้ร่วมลงนามใน “กฎบัตรแอตแลนติก” (Atlantic Charter) ในปี</S< /> ค.ศ.1941 เพื่อกำหนดแนวทางจัดตั้งองค์การรักษาสันติภาพของโลกขึ้น</SPAN< /> จนกระทั่งเมื่อสงครามสิ้นสุดลง ในปี ค.ศ 1945 องค์การสหประชาชาติ (UN) จึงถือกำเนิดขึ้นโดยความร่วมมือก่อตั้งของประเทศสมาชิกดั้งเดิม 51 ประเทศเพื่อทำหน้าที่เป็นองค์กรสากลระหว่างประเทศในการธำรงรักษาสันติภาพของโลก</< td>
31 ความคิดเห็น:
รับทราบครับ
ธนดล 3/9
ขอคุณค่ะ อาจารย์ที่ให้ความรู้ :)
นิภาภารณ์ ม.๓/๑๐
รับทราบแล้วครับ
ภูมิระพี 3/11
รับทราบค่ะ
เมธาพร 3/9
รับทราบแล้วค่ะ
ธนภรณ์ 3/11
รับทราบค่ะ มาศสุภา3/9
สนใจดีมากอย่างนี้ รับเกรด 5 ไปเลยค่ะ 55555555
รับทราบค่ะอาจารย์(:
วรางคณา 3/10 เลขที่ 25
รับทราบค่ะ
ปานเพชร 3/10
รับทราบแล้วค่ะ
วริญญา 3/9 เลขที่ 28
รัทราบค่ะ
พรนภา 3/10 เลขที่ 20
รับทราบค่ะ ><
ชฎาพร 3/9
รับทราบคับ ภิเศก3/11
รับทราบค่ะ
วรรณนภา 3/10 เลขที่ 22
รับทราบ ครับ ณัฐพงษ์ ดอกมะลิ 3/2 เลขที่ 9
รับทราบครับ
ชินภัทร 3/10
รับทราบค่ะ
น้องเรียม3/9
รับทราบค่ะ :)
ปานเพชร 3/10
รับทราบค่ะ
บุศยา 3/9 :D
รับทราบครับ
พงศธร 3/11
รับทราบแล้วครับ
สาฬหะ 3/11
รับทราบค่ะ ปวันรัตน์ 3/9
รับทราบค่ะ
พนิดา 3/11 เลขที่25
รับทราบค่ะ
เก็บตะวัน 3/11
รับทราบแล้วคับ ภูมิศักดิ์3/9
รับทราบค้า
ศุภรัตน์ 3/7
รับทราบค่ะ
ขนิษฐา3/8
วันนี้ กำลังให้คะแนน ใครเม้นท์ ได้ 2 point 55555
รับทราบแล้วค่ะ
อภิญญา 3/9
รับทราบค่ะ คุณครู
รินรดี 3/11 เลขที่ 30
แสดงความคิดเห็น