สงครามโลกครั้งที่ 1
27. ข้อสรุปของสงครามโลกครั้งที่ 1 (ค.ศ.1914 - 1918)
27.1 ช่วงเวลาที่เกิดสงคราม รวมระยะเวลา 4 ปี
- เริ่มวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ.1914 เมื่อเยอรมนีบุกเบลเยียม
- สิ้นสุดวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ.1918 เมื่อเยอรมนียอมสงบศึกยุติสงคราม
27.2 การลงนามในสัญญาสันติภาพ ฉบับที่สำคัญที่สุด คือ สนธิสัญญาแวร์วายส์ (Treaty of Versailles ) ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ.1919 เป็นสนธิสัญญาที่บังคับให้เยอรมนีในฐานะชาติผู้แพ้ต้องยอมปฏิบัติตามโดยไม่มีข้อโต้แย้ง
27.3 ประเทศคู่สงคราม สงครามโลก ครั้งที่ 1 เกิดจากประเทศมหาอำนาจ 2 ค่าย ได้แก่
(1) ฝ่ายมหาอำนาจสัมพันธมิตร ( Allied Powers ) เรียกว่า “กลุ่มสนธิสัญญาไตรภาคี” หรือทริเปิล อองตองต์ ( Triple Entente ) ประกอบด้วย อังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซีย และยังมีชาติอื่น ๆ สมทบเข้าร่วมในสงครามอีก 23 ประเทศ รวมทั้งสหรัฐอเมริกาประกาศเข้าร่วมในช่วงปลายของสงคราม
(2) ฝ่ายมหาอำนาจกลาง (Central Powers ) เรียกว่า “กลุ่มสนธิสัญญาพันธมิตรไตรภาคี” หรือทริเปิล อัลไลแอนซ์ (Triple Alliance) ประกอบด้วย เยอรมนี ออสเตรีย ฮังการี และอิตาลี
27.4 ความสำคัญของสงครามโลก ครั้งที่ 1 สมรภูมิส่วนใหญ่เกิดในทวีปยุโรปและได้ขยายไปยังภูมิภาคอื่น ๆ ของโลก มีประเทศเข้าร่วมในสงครามมากกว่า 30 ประเทศ เป็นสงครามที่สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อมนุษยชาติ ทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ประมาณว่ามีผู้เสียชีวิตถึง 20 ล้านคน
28. สาเหตุที่นำไปสู่สงครามโลก ครั้งที่ 1
สาเหตุที่ทำให้ประเทศในยุโรปก่อสงครามทำลายล้างกันจนขยายตัวเป็นสงครามโลก ครั้งที่ 1 สรุปได้ดังนี้
28.1 ลัทธิชาตินิยม ก่อนเกิดสงครามครั้งที่ 1 กระแสความรู้สึกชาตินิยมทวีความรุนแรงในหมู่ชนชาติต่าง ๆ ในยุโรป โดยมีสาแหตุเกิดจากการแข่งขันแย่งชิงผลประโยชน์ในด้านเศรษฐกิจและการเมือง ตั้งแต่ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา โดยเฉพาะกรณีของฝรั่งเศสกับเยอรมนี จนเกิดความคิดว่าการทำสงครามเป็นการรักษาเกียรติภูมิของประเทศ
นอกจากนี้ ชนกลุ่มน้อยที่อยู่ภายใต้การปกครองของชาติมหาอำนาจต่างพยายามต่อสู้ในทางลับเพื่อแยกตัวเป็นประเทศเอกราช เช่น พวกสลาฟ (Slav) ในคาบสมุทรบอลคาน ได้รับการสนับสนุนจากรัสเซียและเซอร์เบียให้แยกตัวเป็นอิสระจากการปกครองของจักรวรรดิออสเตรีย – ฮังการี เป็นต้น
28.2 ลัทธิจักรวรรดินิยม ความสำเร็จของการปฏิวัติอุตสาหกรรม ทำให้ชาติมหาอำนาจในยุโรปแข่งขันกันขยายดินแดนอาณานิคม เพื่อแสวงหาวัตถุดิบและตลาดระบายสินค้า โดยเฉพาะดินแดนในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ ทำให้เกิดความตึงเครียดในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
28.3 ลัทธินิยมทางทหาร หรือการแข่งขันด้านแสนยานุภาพทางทหาร เกิดจากชาติมหาอำนาจในยุโรป ต่างพยายามแข่งขันกันสะสมอาวุธและความเข้มแข็งทางทหาร เพื่อปกป้องรักษาผลประโยชน์ของชาติตนทำให้เกิดความหวาดระแวงซึ่งกันและกัน และมีแนวโน้มจะใช้กำลังทางทหารแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้น
28.4 การขยายตัวของระบบพันธมิตรทางทหาร ความหวาดระแวงและความตึงเครียดในปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ ทำให้ชาติมหาอำนาจของยุโรปต้องทำสัญญาผนึกกำลังกันเป็นพันธมิตรทางทหาร โดยแบ่งเป็น 2 ค่าย ทำให้เกิดสถานการณ์การเผชิญหน้ากันมากขึ้น และพร้อมที่จะใช้สงครามตัดสินปัญหา
29. ชนวนของสงครามโลก ครั้งที่ 1
29.1 สถานการณ์ที่นำไปสู่ชนวนระเบิดของสงครามโลก ครั้งที่ 1 คือ กรณีลอบปลงพระชนม์เจ้าชายฟรานซิส เฟอร์ดินานด์ (Archduke Francis Ferdinand) องค์รับทายาทของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ขณะเสด็จประพาสนครหลวงของแคว้นบอสเนีย เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ.1914 โดยคนร้านที่ถือสัญชาติเซอร์เบีย ทำให้รัฐบาลออสเตรีย ฮังการี ปักในเชื่อว่ารัฐบาลเซอร์เบียอยู่เบื้องหลัง
29.2 ปัญหาวิกฤติการณ์ดังกล่าวบานปลายกลายเป็นสงคราม เพราะระบบการสร้างกลุ่มสัญญาพันธมิตรทางทหาร ฝ่ายหนึ่งมีเยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการี อีกฝ่ายหนึ่งมีรัสเซีย และฝรั่งเศส ต่อมาเมื่อเยอรมนีบุกเบลเยียม ในวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ.1914 อังกฤษจึงประกาศสงครามกับเยอรมนี
30. ผลของสงครามโลก ครั้งที่ 1
ภายหลังเมื่อสงครามโลก ครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง ได้มีการประเมินผลกระทบและความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในยุโรป สรุปได้ดังนี้
30.1 ความหายนะทางด้านเศรษฐกิจและสังคม มีผู้คนเสียชีวิตจำนวนมาก ทั้งทหารและพบเรือน รวมไม่ต่ำว่า 20 ล้านคน ทรัพย์สินของแต่ละประเทศรับความเสียหายอย่างหนัก รวมเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 186,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
30.2 ความก้าวหน้าในเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมทางทหาร สงครามโลกครั้งที่ 1 แสดงถึงความก้าวหน้าในการประดิษฐ์อาวุธร้ายแรงต่าง ๆ ของประเทศคู่สงคราม เช่น การนำรถถังมาใช้เป็นครั้งแรก การนำเครื่องบินรถติอาวุธมาทำสงครามกลางอากาศเป็นครั้งแรก และรวมทั้งการใช้ปืนกล ปืนใหญ่ และแก๊สพิษ เป็นต้น
30.3 การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในยุโรป สงครามโลก ครั้งที่ 1 มีผลทำให้จักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ของยุโรปหลายจักรวรรดิต้องล่มสลาย เช่น จักรวรรดิเยอรมัน จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี และจักรวรรดิออตโตมัน (ตุรกี) เป็นต้น และทำให้เกิดประเทศใหม่ ๆ อีกหลายประเทศ เช่น โปแลนด์ ฮังการี และเชโกสโลวะเกีย ฯลฯ
30.4 การเกิดองค์การสันนิบาตชาติ (The League of Nations) ตั้งขึ้นเพื่อรักษาสันติภาพของโลกและแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ โดยประสานความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกเพื่อป้องกันและระงับยับยั้งมิให้เกิดสงครามขึ้นอีก
24 ความคิดเห็น:
รับทราบครับ
ธนดล 3/9
รับทราบค่ะ
เมธาพร 3/9
รับทราบแล้วค่ะ
ธนภรณ์ 3/11
รับทราบครับ
ภูมิระพี 3/11
รับทราบค่ะ มาศสุภา 3/9
ดีใจจัง สำหรับ FC ตัวจริงของครู ขอให้ได้เกรด 4 ทุกคนค่ะ
รับทราบค่ะ
พรนภา 3/10 เลขที่ 20
รับทราบค่ะอาจารย์(:
วรางคณา 3/10 เลขที่ 25
รับทราบจ้า :))
ปานเพชร 3/10
รับทราบแล้วค่ะ
วริญญา 3/9 เลขที่่ 28
พรชัย 3/10 เลขที่ 12
รับทราบค่ะ จารุเนตร 3/10
รับทราบค่ะ ชฎาพร 3/9
รับทราบครับ ภิเศก 3/11
รับทราบค่ะ
วรรณนภา 3/10 เลขที่ 22
รับทราบครับ
ชินภัทร 3/10
รับทราบค่ะ
น้องเรียม3/9
รับทราบค่ะ
บุศยา 3/9 *0*
รับทราบครับ
สัจธรรม 3/9
รับทราบครับ
สาฬหะ 3/11
รับทราบแล้วครับ ภูมิศักดิ์3/9
รับทราบค่ะ
ปวันรัตน์ 3/9
รับทราบค่ะ อาจารย์
รินรดี 3/11 เลขที่ 30
แสดงความคิดเห็น